บทนำ
การเป็นผู้นำทางด้านการออกกำลังกายและการกีฬา (Exercise
and Sport Leadership) มีดัชนีชี้วัดความสำเร็จจากการที่มีผู้มาร่วมกิจกรรมมากน้อยขนาดไหน
รวมถึงมาแล้วมีความสุขหรือไม่? ประสบความความสำเร็จดังที่ตนเองตั้งใจไว้เพียงใด? มีการพัฒนาทั้งด้านร่างกายและจิตใจครบสมบูรณ์ และซึมซับคุณค่าของการออกกำลังกายและกีฬาโดยพร้อมที่จะให้การออกกำลังกายและเล่นกีฬาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตหรือไม่? ถ้าผู้นำไม่สามารถปฏิบัติได้ดังที่กล่าวมานั้น ก็จะเป็นการบ่งชี้ว่า ผู้นำไม่ประสบความสำเร็จในการที่จะทำให้คนมาออกกำลังกายและมาเล่นกีฬาตามวัตถุประสงค์ได้ สอดคล้องกับ
1(Borrow, 1977.
อ้างถึงใน สืบสาย, 2541) กล่าวว่า ผู้นำทางการกีฬา
เป็นกระบวนการของพฤติกรรมที่มีอิทธิพลต่อบุคคลหรือกลุ่มเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายที่ได้วางไว้
ทั้งนี้ การสร้างทีมกีฬา
หรือการสร้างนักกีฬาให้มีความสามารถในการเล่นสูงสุดได้นั้น ปัจจัยที่สำคัญคือการบริหารจัดการเวลาในการที่จะวางแผนเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและประสบการณ์ให้แก่นักกีฬา
ซึ่งโค้ชหรือผู้นำของทีมจะเป็นผู้จัดเตรียมเกี่ยวกับการฝึกอย่างมีประสิทธิภาพ
มีการแนะแนว แนะนำยุทธวิธีที่นักกีฬาควรจะได้เรียนรู้และฝึกฝน ทั้งทางด้านสมรรถภาพทางกาย
(Physical Fitness) ความสามารถด้านทักษะ (Skill
Performance) และที่สำคัญคือความสามารถทางด้านจิตใจ (Mental
Performance) ที่จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของจิตใจ และกำหนดระดับแรงจูงใจของนักกีฬา
เพื่อพัฒนาความสามารถในการกีฬา รวมทั้งการช่วยเหลือด้านต่างๆ ตลอดจนการให้รางวัลสำหรับการเล่นและการกระทำในสิ่งที่ดีมีประสิทธิภาพ
ในทางตรงกันข้าม อาจจะต้องมีการลงโทษเพื่อลดหรือตัดการกระทำอันไม่พึงประสงค์
ทั้งนี้
ในบริบททางการกีฬา มิติของผู้นำทางการกีฬา สามารถสะท้อนให้เห็นถึงการประสานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ฝึกสอน
(โค้ช) กับนักกีฬา นักกีฬากับนักกีฬา สังคมกับกีฬา โค้ชกับผู้บริหาร
ผู้บริหารกับนักกีฬา และโค้ชกับโค้ช เป็นต้น เพื่อก่อให้เกิดความรู้สึกของการเป็น
“ทีม” เดียวกัน
และช่วยเสริมให้มีความรู้สึกของการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างบุคคลในกลุ่ม
ทุกๆระดับ จนสามารถพัฒนาให้กลายเป็นทีมที่มีการทำงานร่วมกัน (Teamwork) และมีจิตใจที่เข้มแข็ง (Mental Toughness) จากบทบาทของความเป็นผู้นำในมิติต่างๆที่แตกต่างกัน
ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในการที่จะขับเคลื่อนทีมกีฬาให้ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งบทบาทของผู้นำทางการกีฬานั้น
มีความหลากหลายตามระดับของการเรียนรู้ ประสบการณ์ ความสามารถ
จุดมุ่งหมายในการฝึกกีฬา ความต้องการของนักกีฬาหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง
หรือแม้แต่บุคลิกภาพของนักกีฬาและโค้ช
ย่อมส่งผลทำให้บทบาทและพฤติกรรมของผู้นำทางการกีฬาแตกต่างกันไป
จากความแตกต่างในบทบาทและพฤติกรรมของผู้นำทางการกีฬาที่แสดงออก
สามารถเรียนรู้และวิเคราะห์พฤติกรรมโดยเชื่อมโยงกับหลักการและทฤษฏีด้วยเหตุและผลอย่างเข้าใจในภาพยนตร์เรื่อง
“โค้ชคาร์เตอร์” ทุ่มแรงใจจุดไฟฝัน ปีค.ศ.2005 จากค่าย Sony
Classics นำแสดงโดย แซมมวล แอล. แจ๊คสัน (นักแสดงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์) จากภาพยนตร์ดังกล่าว
เป็นกรณีศึกษาที่น่าเรียนรู้จากบทบาทและพฤติกรรมของผู้นำทางการกีฬา
เพื่อให้เข้าใจว่าการเป็นโค้ชไม่ใช่เรื่องยาก
แต่การเป็นโค้ชที่ดีนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
ถ้าทุกคนยังไม่รู้บทบาทและคุณค่าของความเป็นผู้นำทางการกีฬาที่ถูกต้อง
ดังภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ฉายให้เห็นภาพในมิติต่างๆ
โดยเฉพาะหัวใจของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ “Athletes First Winning Second” กล่าวคือ
การให้ความสำคัญที่จะพัฒนานักกีฬาเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการได้มาซึ่งชัยชนะ
ซึ่งความมุ่งมั่นตั้งใจและความทุ่มเทของโค้ชจะสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการของความเป็นผู้นำที่ดี
และบทบาทของความเป็นผู้นำระหว่างนักกีฬากับนักกีฬา
หรือแม้แต่สังคมที่มีผลกระทบต่อกีฬาในมิติของการเป็นผู้นำที่เกิดขึ้นกับทีม
เนื้อหาต่างๆเหล่านี้สามารถเรียนรู้จากกรณีตัวอย่างในภาพยนตร์เรื่อง
“โค้ชคาร์เตอร์” ทุ่มแรงใจจุดไฟฝัน
เนื้อเรื่อง
สรุปสาระสำคัญจากบทภาพยนตร์
เรื่อง “โค้ชคาร์เตอร์” ทุ่มแรงใจจุดไฟฝัน
ณ
โรงเรียนมัธยม ริชมอนต์ ย่านสลัมในแคลิฟอร์เนีย โค้ชบาสเก็ตบอลคนเก่าจะเกษียญอายุ โรงเรียนได้มาขอให้โค้ชคาร์เตอร์
เจ้าของร้านกีฬามาเป็นโค้ชให้โรงเรียน เพราะคาร์เตอร์เคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนริชมอนต์แห่งนี้มาก่อน และได้รับโคว์ต้าเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย
โดยลูกชายของโค้ชคาร์เตอร์เรียนอยู่โรงเรียนเซ็นฟรังซิส โรงเรียนระดับต้นๆของมลรัฐ
มีชุดยูนิฟอร์ม ใส่สูท ผูกไท้ และเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของโรงเรียนนี้ด้วย พื้นฐานของทีมบาสเก็ตบอลโรงเรียนริชมอนต์
คือภายหลังจากจบการแข่งขันมักจะปรากฎผลแพ้เป็นประจำ ทะเลาะวิวาทกันเอง
ไม่มีระเบียบวินัย ตัดสินด้วยอารมณ์ ขนาดแข่งขันเสร็จสิ้นแล้วยังไม่ทราบเลยว่าปีที่แล้วใครเป็นแชมป์ของมลรัฐ
โค้ชคาร์เตอร์เข้ามาวันแรก สิ่งที่สอนสิ่งแรกคือ การเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน
(Respect)
กล่าวคือ การเรียกทุกคนในทีมว่าท่าน
(Sir)
“ครูซ”
ตัวแสบประจำทีม เดินออกจากห้องซ้อม เนื่องจากไม่พอใจในสัญญาระหว่างนักกีฬากับโค้ช และครูซก็ไปค้ายาเสพติดในที่สุด
โค้ชคาร์เตอร์ไม่ได้ให้เด็กเล่นบาสเก็ตบอลเพียงอย่างเดียว แต่จะให้พ่อแม่ครอบครัวมีส่วนร่วมผลักดันด้วย
กฎของโค้ชที่ให้ผู้ปกครองเซ็นสัญญาก่อนเข้าแข่งขัน เด็กต้องผูกไท้ ผู้ปกครองไม่เห็นด้วย
โดยอ้างเหตุผลต่างๆนาๆ เช่นจะไปหาซื้อได้ที่ใหน ราคาก็แพง แต่โค้ชบอกผู้ปกครองเหล่านี้ว่า
“ร้านมือสองก็มี หรือที่ร้าน Everything 99 เซ็นต์”ซึ่งผู้ปกครองมองว่าโค้ชคิดว่าพวกตนจน?
จึงทำให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่คิดว่า “แค่นี้ฉันก็ซื้อให้ลูกได้” ซึ่งถือว่าเป็นกุศโลบายที่ดีสำหรับวิธีการของโค้ชคาร์เตอร์ และนักกีฬาจะต้องได้เกรดเฉลี่ยขั้นต่ำ
2.3 ซึ่งเกรดเฉลี่ย 2.00ก็เพียงพอต่อการที่จะได้รับเลือกเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
ซึ่งนักกีฬาจะต้องทำให้ได้มากกว่าเกณฑ์ เวลาเรียนต้องนั่งหน้าชั้น
เข้าเรียนเต็มเวลา และให้อาจารย์ทุกวิชาส่งผลการเรียนของนักกีฬาให้ดู ซึ่งทั้งหมดนี้คือสัญญาระหว่างโค้ชคาร์เตอร์ที่มีต่อการเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของทีมริชมอนต์
ส่งผลทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองไม่พอใจกับกฎที่โค้ชคาร์เตอร์ตั้งไว้ดังกล่าว
ผู้ปกครองบอกว่า “บาสเก็ตบอลคือสิทธิพิเศษน๊ะ” ทำไมต้องวางระเบียบขนาดนี้ โค้ชบอกว่า
“ใช่คือสิทธิพิเศษที่เล่นกันเป็นทีม ถ้ารักษากฎง่ายๆแค่นี้เบื้องต้นไม่ได้ก็ไม่ต้องมาเล่นบาสเก็ตบอล
และพรุ่งนี้ใครสนใจที่จะร่วมทีมก็มาเซ็นสัญญา”กระบวนการฝึกซ้อมทักษะเบื้องต้นอย่างหนักของโค้ชคาร์เตอร์
คือเข้าฝึกซ้อม เวลา 15.00 น. โดยต้องมาถึงสนามในเวลา 14.55
น. ถ้ามาสายต้องดันพื้น วิ่งแตะสนาม 250 ครั้ง
และถ้าโต้เถียงเพิ่มอีก 500 ครั้ง เถียงอีกเพิ่มเป็น 1,000
ครั้ง เป็นต้น
ลูกชายของโค้ชคาร์เตอร์ขอลาออกจากโรงเรียนเซ็นฟรังซิส
และมาเข้าเรียนในโรงเรียนริชมอนต์ เพราะลูกของโค้ชคาร์เตอร์อยากเป็นนักบาสเก็ตบอล และเชื่อในพ่อของตนว่าเป็นคนดี
สามารถทำให้ตนเองเก่งได้ โดยยื่นข้อเสนอกับพ่อว่าจะทำเกรดให้ได้ 3.5 และจะทำงานเพื่อสาธารณะประโยชน์จาก 10 ชั่วโมงเป็น 50
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลูกของโค้ชคาร์เตอร์บอกว่า “ถ้าตนเองเป็นที่หนึ่งของริชมอนต์
ก็จะสามารถเลือกเข้ามหาวิทยาลัยไหนก็ได้” โดยข้อแม้ของโค้ชคาร์เตอร์ ที่มีต่อลูกของตนคือต้องทำเกรดเฉลี่ยให้ได้
3.7
สำหรับการแข่งขันของทีมริชมอนต์นั้น
ได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรก “ครูซ” นักกีฬาตัวแสบที่เดินออกจากสนามฝึกซ้อมขอกลับเข้ามาร่วมทีมอีกครั้ง
โดยเข้ามาหาโค้ชคาร์เตอร์ ซึ่งโค้ชคาร์เตอร์บอกว่า “ได้คุณครูซแต่ต้องดันพื้น 2500 ครั้ง วิ่งแตะพื้น 1000 ครั้ง ภายในวันศุกร์นี้”
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่กี่วัน โค้ชคาร์เตอร์ยังถามต่ออีกว่า “คุณกลัวอะไรคุณครูซ...กลัวแพ้ใช่ไหม”
ครูซได้ยินเช่นนี้ก็แสดงความมุ่งมั่นตั้งใจในเงื่อนไขของโค้ช โดยรีบไปดันพื้นและวิ่งแตะพื้น
สุดท้ายเมื่อครบกำหนดเวลา ครูซก็ไม่สามารถทำครบได้ โดยวิ่งแตะพื้นขาดไป 80 ครั้ง และดันพื้นขาดอีก 500 ครั้ง โค้ชคาร์เตอร์บอกว่า
“คุณไม่ได้เข้าร่วมทีมกับเราแล้วคุณครูซ” เพื่อนๆในทีมแสดงความมีน้ำใจนักกีฬาของทีม
(Team Spirit) โดยการขอดันพื้นกับวิ่งแตะพื้นแทนครูซเพราะโค๊ชบอกว่าเราคือทีม
“คนหนึ่งเดือดร้อน เราเดือดร้อน คนหนึ่งชนะ เราชนะด้วย”
เพื่อนนักกีฬาภายในทีมกล่าว
ณ
สถานการณ์การแข่งขัน เกิดการเล่นนอกเกม ด่าทอกันบ้าง หรือล้อเลียนกันบ้าง เพื่อกดดันและยั่วยุอารมณ์คู่ต่อสู่
ซึ่งสิ่งที่โค้ชคาร์เตอร์บอกคือ “พวกคุณชนะมาตลอด เยาะเย้ยคู่ต่อสู้เมื่อได้แต้ม พวกคุณใช้สิทธิ์อะไรทำให้เกมส์เปรอะเปื้อน
ด้วยคำพูดเยาะเย้ย พวกคุณใช้สิทธิอะไรใส่เสื้อตราริชมอนต์” ซึ่งเหล่านักกีฬาก็ให้เหตุผลว่า
“พวกนั้นเยอะเย้ยเราครับ” โค้ชคาร์เตอร์ถามต่อว่า “เราทำตัวมีระดับไม่ได้เหรอ ทำตัวเหมือนแชมป์ไม่ได้เหรอ”
แล้วสั่งให้ทุกคนดันพื้นคนละ 500 ครั้ง เพื่อเป็นการลงโทษ
จูเนียร์เป็นนักกีฬาที่มีความโดดเด่นของทีมริชมอนต์
แล้วก็มีข่าวลงหนังสือพิมพ์และปีหน้าก็จะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ยังอ่านหนังสือไม่ออก
โดยเป็นคำล้อเลียนจากเพื่อนๆ โค้ชเลยบอกให้ไปเข้าเรียนให้เต็มเวลาก่อน มีสิทธิ์ที่จะซ้อมได้
แต่ไม่ให้ลงแข่งขัน จูเนียร์โกรธมาก โดยบอกโค้ชว่า “มันเป็นคนละเรื่องกัน” จูเนียร์เลยเดินออกจากสนามไป
กลางดึกวันเดียวกันนั้นเอง แม่กับจูเนียร์มาหาโค้ชที่ร้าน บอกโค้ชว่า “พี่ชายจูเนียร์ถูกยิงตายตนเองเหลือลูกคนเดียว
ดิฉันไม่ได้มาขอสิทธิพิเศษให้เมตตาแต่อย่างใด” โค้ชบอกว่า “ให้จูเนียร์มาคุยเอง”
จูเนียร์บอกโค้ชว่า “ผมทำได้ครับ ผมจะพยายามเข้าเรียนให้สม่ำเสมอ”
การได้แข่งทัวนาเม็นต์และชนะต่อเนื่องมาโดยตลอด
ทำให้มีแฟนคลับเพิ่มมากขึ้น นักกีฬากลายเป็นคนดัง และสาวๆลูกคนรวยในเมืองก็ได้จัดปาร์ตี้ในบ้าน
โดยชวนทีมริชมอนต์ไปฉลองชัยชนะ และโค้ชก็มาตาม กลับที่พัก เนื่องจากประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสม
จากผลการเรียนทั้งหมด
โค้ชคาร์เตอร์เอามาดูก็แทบจะเป็นลบ ทุกคนเกือบทั้งหมดในทีมติด F รวมทั้งเวลาเรียนก็ไม่พอ โค้ชคาร์เตอร์ตัดสินใจปิดโรงยิมทันที จนกว่าทีมริชมอนต์จะเข้าเรียนเต็มเวลา
คะแนนจะดีขึ้น นักกีฬาภายในทีมคนหนึ่งบอกว่า “แต่ผมทำได้คะแนนเฉลี่ยได้ 3.3
นะครับโค้ช” โค้ชคาร์เตอร์บอกว่า “นั้นเธอคนเดียว
ไม่ใช่ในทีมทั้งหมด เราต้องไปด้วยกัน” กับความไม่เข้าใจกัน และมองคนละมุม
ครูใหญ่ให้นักบาสเก็ตบอลสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนอย่างเดียว อย่างอื่นไม่สน ซึ่งทัศนะคติของผู้ปกครองคิดว่า
“ลูกตนเองทำชื่อเสียงให้โรงเรียน เป็นคนดังของย่านริชมอนต์ เป็นคนดังของรัฐไปแล้ว ทำไมต้องปิดโรงยิมด้วย”
โค้ชได้แถลงข่าวบอกถึงสิ่งที่ทำลงไปด้วยเหตุและผล ซึ่งมีความแตกต่างจากทัศนะคติของผู้บริหารโรงเรียนและผู้ปกครองอย่างสิ้นเชิง
โค้ชคาร์เตอร์บอกนักกีฬาว่า “พวกเราล้มเหลว (We're fail) บางคนรักษาสัญญาไว้ได้
แต่เราคือ “ทีม” จนกว่าทุกคนจะทำตามสัญญาได้ จึงจะเปิดโรงยิม” โค้ชคาร์เตอร์
อธิบายให้กับนักกีฬาเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “ฉันเห็นอะไร
ฉันเห็นระบบการเรียนทำให้พวกเธอล้มเหลว พวกเธอชอบสถิติ ฉันยกตัวอย่างให้ดู
นักเรียนริชมอนต์จบแค่ 50% เด็กแค่ 6% เข้ามหาวิทยาลัยได้
มองไปแต่ละห้องมีเด็กคนเดียวเข้ามหาวิทยาลัยได้ คำถามคือ ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้จะไปอยู่ที่ไหน
คำตอบคือ สำหรับอเมริกันเชื้อสายอาฟริกัน อาจเข้าไปอยู่ในคุก มองไปรอบๆพวกเธอ หนึ่งในนั้นอาจถูกจับ
โตขึ้นในริชมอนต์โอกาสเข้าคุกมากกว่าเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย 80% และนั้นคือตัวเลข”เรื่องลุกลามไปจนกระทั้งข่มขู่โค้ชคาร์เตอร์ ไม่ว่าจะที่โรงเรียน
ที่ร้านขายอุปกรณ์กีฬา หรือกลางถนน ทั้งนี้มีการประชุมสภาผู้ปกครอง
และสภาครูผู้ปกครองมีมติไล่โค้ชคาร์เตอร์ออก ด้วยคะแนนมติ 4:2 ภายหลังจากต้องออกจากการเป็นโค้ช คาร์เตอร์มาเก็บของและได้ไปที่โรงยิม สิ่งที่เป็นภาพประทับใจ
นั่นคือเด็กๆทั้งหมด นั่งตั้งใจเรียน มีคุณครูอาสาสมัครช่วยติวให้
นักกีฬาบอกต่อหน้าโค้ชว่า “เราตัดสินใจว่าเราต้องทำให้สำเร็จ อย่ามายุ่งกับเรา เราต้องทำให้ได้ครับ”
จนกระทั่งนักกีฬาทุกคนสามารถเรียนผ่านเกณฑ์ที่โค้ชกำหนดไว้
เกมสำคัญสำหรับการแข่งขันกับโรงเรียนเซ็นต์ฟรังซิส
แชมป์อันดับหนึ่งของประเทศ เชื่อว่าจะได้เข้าทีมNBAปีหน้า
ซึ่งเป็นการลงแข่งขันระดับรัฐครั้งแรกของริชมอนต์ ซึ่งผลปรากฏว่าทีมเซ็นฟรังซิสชนะโค้ชคาร์เตอร์ปลอบใจนักกีฬาว่า
“พวกเธอเล่นเหมือนแชมป์ แชมป์ต้องเชิดหน้าไว้ สิ่งที่เธอได้มากกว่านั้น
พวกเธอได้ลงข่าวหน้า 1 หน้าSectionกีฬาเต็มหน้า
พวกเธอได้รับมากกว่าพวกเค้า ที่พวกเค้าตามหามาทั้งชีวิต
สิ่งที่พวกเธอได้รับคือชัยชนะภายในใจที่หายากยิ่ง และทุกๆท่านผมภูมิใจในพวกคุณมาก บ้านเกิดของเราคือ
ริชมอนต์!!!” ทีมริชมอนต์ออกมาจากห้องพักนักกีฬาโดยใส่สูท ผูกไท้ออกมาและได้รับการต้อนรับจากแฟนคลับ
ทีมริชมอนต์ไม่ชนะการแข่งขันระดับรัฐ
แต่ทีมริชมอนต์มีนักกีฬา 5 คนได้ทุนเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย และอีก 6 คน สามารถเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย
จูเนียร์ แบทเทิลได้ทุนที่ซานโฮเซสเตท เจสันไลน์ เรียนที่ซานดิเอโก จบการศึกษาด้านบริหารธุรกิจ
ครูซตัวแสบเข้ามหาวิทยาลัยฮัมโบล์สเตท ได้ลงตำแหน่งเป็นการ์ดในช่วงแรก
แจรอนได้ทุนเรียนมหาวิทยาลัย ซานฟรานซิสโก สเตท ลงตำแหน่งผู้คุมเกมส์รุกตลอดสี่ปี
เคย่อนได้เรียนที่มหาวิทยาลัยซานคราเมนโต ได้ปริญญาสื่อสารมวลชน ดาเมียนลูกโค้ชคาร์เตอร์ทำลายสถิติโรงเรียนริชมอนต์
ด้านคะแนนทำลายสถิติที่พ่อตนเองเคยทำไว้ที่โรงเรียน ได้ทุนเรียนศึกษาต่อวิทยาลัยการทหารสหรัฐ
ที่เวสพอยต์
“โค้ชคาร์เตอร์”
สอนให้รู้ว่า....“กีฬา”
ทำให้บุคคลมีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างจิตวิญญาณของการเป็นทีม สร้างมิตรภาพ เป็นเวทีของชีวิต และ
“ผู้นำทางการกีฬา” เป็นบุคคลสำคัญที่จะปลูกฝัง
“คุณค่าของกีฬา” ให้กับเด็กและเยาวชนได้เป็นอย่างดี
วิเคราะห์ความเป็นผู้นำทางการกีฬา:
กรณีศึกษาจากภาพยนตร์ เรื่อง “โค้ชคาร์เตอร์”
จากเรื่องจริงของเค็น คาร์เตอร์ (Ken Carter) ผู้เป็นทั้งโค้ชบาสเก็ตบอลและโค้ชชีวิตของเด็กๆในทีมนั้นกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศ
ที่ไม่ยอมให้ทีมบาสเก็ตบอลซึ่งสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนลงแข่งจนกว่าผลการเรียนของเด็กๆในทีมจะดีขึ้นตามที่ได้สัญญาไว้ก่อนที่โค้ชคาร์เตอร์จะมาเป็นโค้ชให้กับทีม
ซึ่งโค้ชเห็นว่าเด็กนักเรียนริชมอนต์จบการศึกษาเพียงแค่ 50% เด็ก
6% เข้ามหาวิทยาลัยได้ และส่วนใหญ่ที่ไม่จบกว่า 80% อยู่ในคุก เนื่องจากอาชญากรรมต่างๆ โค้ชจะต้องผ่านอุปสรรคต่างๆมากมาย ซึ่งโค้ชคาร์เตอร์ก็สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ
และสามารถแสดงให้บรรดาเหล่านักกีฬาที่ไม่มีเป้าหมายในอนาคตได้เห็นว่า อนาคตของพวกเขาต้องไปไกลกว่าการเป็นนักเลงหัวไม้ ติดยาเสพติด หรือติดคุก
และไม่ได้จบลงที่บาสเก็ตบอลตลอดไป ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชมทุกคน
เพราะเป็นการสร้างทีมบาสเก็ตบอลที่ไม่มีชื่อเสียง
ไม่เคยได้เข้าแข่งขันในระดับมลรัฐมาก่อน อีกทั้งสมาชิกในทีมก็เต็มไปด้วยปัญหา
ทั้งปัญหาทางด้านการเรียนและด้านทักษะการเล่นกีฬา แต่โค้ชคาร์เตอร์ก็ทำให้ทีมริชมอนต์กลายเป็นทีมที่แข็งแกร่ง
สามารถเข้าแข่งขันชิงชนะเลิศกับทีมชั้นหนึ่งได้
ทักษะการโค้ชสำหรับการเป็นผู้นำทางการกีฬา
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเหมาะสำหรับคนที่เป็นโค้ช คนที่เป็นหัวหน้างาน ผู้บังคับบัญชา ผู้บริหารทุกระดับ
ครูอาจารย์ นิสิต นักศึกษา นักกีฬา หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ผู้ปกครองก็จะได้ประโยชน์จากภาพยนตร์เรื่องนี้ในหลายๆด้าน
เช่น
(1) การเป็นโค้ชที่ดีไม่ใช่สอนให้ลูกทีมเป็นคนเก่งอย่างเดียว แต่ต้องสอนให้เป็นคนดีของสังคม ต้องรู้จักคิด และมีความรับผิดชอบในตัวเอง
อย่างโค้ชคาร์เตอร์เขาจะไม่ยอมให้ลูกทีมของเขาแข่งขันจนกว่าจะสอบได้คะแนนตามเกณฑ์ที่เขากำหนด เพราะเขาเห็นว่านักกีฬาต้องเก่งทั้งเรื่องกีฬาและเรื่องเรียนไปพร้อมๆกัน
(2) เมื่อนักกีฬามีฝีมือดี คนที่ชูตลูกได้เก่งที่สุดในทีมขอลาออกไปเพราะไม่ชอบสไตล์การโค้ชของเขา เขาก็บอกกับลูกทีมที่เหลือว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องตกใจ
เขาจะฝึกคนที่ยังอยู่ในทีม ให้มีฝีมือดีขึ้นมาให้ได้ แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จ
นั่นคือผู้นำที่ทำได้จริงอย่างที่พูด
(3) การเป็นโค้ชจะต้องใช้เทคนิคที่หลากหลาย
ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ แล้วแต่สถานการณ์ เมื่อลูกทีมบางคนแสดงความก้าวร้าวออกมา
หรือทำผิดวินัยเขาก็ใช้มาตรการที่เฉียบขาดทันที (Disciplinary
Action) แต่หากลูกทีมคนใดมีความรับผิดชอบและทำได้ดี เขาก็จะให้ข้อมูลย้อนกลับเชิงบวก
(Positive Feedback) ทันที
(4) คนเป็นโค้ช
หรือผู้บังคับบัญชา จะต้องมีการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะติดตามผลและให้ข้อมูลย้อนกลับได้ทันท่วงที จะเห็นได้ว่าขณะที่ทีมของเขาซ้อมหรืออยู่ในสนามแข่งขันจริงก็ตาม
เขาจะคอยดูแล คอยชี้แนะอย่างใกล้ชิด ช่วงไหนที่เพลี่ยงพล้ำก็จะขอเวลานอกเพื่อทำการโค้ชและปลุกขวัญกำลังใจให้ลูกทีมทันที
(5) ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ
หรือเป็นโค้ช จะต้องเป็นคนที่มีความยุติธรรมไม่ลำเอียง จะเห็นได้ว่าหากใครคนใดคนหนึ่งในทีมของโค้ชคาร์เตอร์ทำผิดกติกา
หรือผิดข้อกำหนดที่ตกลงกันไว้จะต้องได้รับการลงโทษทุกคน
ไม่ละเว้นแม้แต่ลูกชายของเขาเองที่เป็นนักกีฬาของทีมนี้ด้วย
(6) ฉากสุดท้ายตอนที่ทีมนักกีฬาของเขาแพ้
ไม่ได้เป็นแชมป์ ได้แค่ลำดับที่สอง โค้ชก็มีวิธีการพูดไม่ให้ทุกคนเสียกำลังใจ
โค้ชพูดให้ทุกคนรู้สึกดี มีกำลังใจ ไม่รู้สึกแย่ โค้ชขอบคุณทุกคน และบอกว่าตนดีใจที่ทำให้ลูกทีมของตนที่เคยเป็นเด็กเมื่อ 4
เดือนที่แล้ว (ตอนที่ตนเข้ามาเป็นโค้ชให้ทีมนี้ใหม่ๆ) กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบในวันนี้
บทสรุป
ผู้นำทางการกีฬาสามารถสะท้อนให้เห็นถึงการประสานสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง
โค้ชกับนักกีฬา นักกีฬากับนักกีฬา สังคมกับกีฬา ดังนี้
(1) บทบาทความเป็นผู้นำของโค้ชที่มีต่อนักกีฬา
สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
พฤติกรรมเชิงบวก
เป็นการสร้างแรงจูงใจในการที่จะกระตุ้นให้พฤติกรรมอันพึงปรารถนาเกิดขึ้น
และพฤติกรรมเชิงลบ เป็นการทำให้กลัว เพื่อที่จะลดหรือขจัดพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ซึ่งจากภาพยนตร์จะพบพฤติกรรมการตอบสนองทั้งสองลักษณะ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ทั้งนี้
แม้ว่าโค้ชในปัจจุบัน โดยเฉพาะโค้ชในประเทศไทย มักจะเลือกแสดงพฤติกรรมเชิงลบ เช่น
การลงโทษ การตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ เพื่อการควบคุมพฤติกรรม โดยการทำให้กลัว ไม่กล้า
และหยุดพฤติกรรมและการกระทำที่ผิดไม่ให้เกิดซ้ำอีก มากกว่าการสร้างแรงจูงใจ
ซึ่งเป็นพฤติกรรมเชิงบวก
โดยอาจจะส่งผลทำให้นักกีฬาเกิดความคับข้องใจจนเป็นสาเหตุของการเลิกเล่น (Burnout)
กีฬาได้ในที่สุด
(2) บทบาทความเป็นผู้นำของนักกีฬากับนักกีฬา
สภาวะการเป็นผู้นำของนักกีฬาภายในทีม
ถือว่าเป็นศิลป์ที่ต้องใช้ยุทธวิธีที่ลึกซึ้งและเข้าใจวัฒนธรรมของทีมที่จะต้องประสานกับสมาชิกภายในทีม
โดยสามารถที่จะคงรักษาระดับแรงจูงใจของทีม เพื่อให้สามารถฝึกซ้อมได้อย่างสนุกสนาน
รู้สึกท้าทายในทุกสถานการณ์ ควบคุมสภาวะความกดดันภายในทีม และนำความสามารถของทุกคนที่มีอยู่ออกมาใช้ในการแข่งขันอย่างเต็มความสามารถได้อย่างเหมาะสม
ซึ่งบทบาทความเป็นผู้นำของนักกีฬากับนักกีฬา จะต้องเป็นบุคคลที่เป็นที่ยอมรับ
โดยจะพบได้จากในกลุ่มนักกีฬาจะต้องเป็นบุคคลที่มีวัยวุฒิมากกว่า
หรือเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์สูงกว่า ซึ่งสภาวะการเป็นผู้นำของนักกีฬาด้วยกันเองจะเป็นสิ่งที่ทำให้หล่อหลอมความรัก
ความสามัคคี จะเห็นได้จากกรณีศึกษาในภาพยนตร์ ในเหตุการณ์ที่เมื่อเกิดประเด็นปัญหาหรือไม่ยอมรับในความพ่ายแพ้
ก็มักจะมีเรื่องทะเลาะวิวาท ขาดความเข้าใจ โดยไม่มีการสื่อสารด้วยเหตุและผล เนื่องจากการขาดสภาวะการมีผู้นำที่มีต่อการแก้ไขสถานการณ์นั้นๆ
แต่เมื่อโค้ชคาร์เตอร์ได้ซึมซับพฤติกรรมการเป็นผู้นำให้นักกีฬาได้เรียนรู้
บทบาทความเป็นผู้นำของนักกีฬาก็สามารถทำให้ทีมเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
เกิดความผูกพัน และเกิดความสัมพันธ์ภายในทีมทั้งในเกมและนอกเกม
จนก่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมที่ดีของทีม
(3) บทบาทของสังคมที่มีต่อกีฬา เมื่อกล่าวถึง “กีฬา”
ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่มีบทบาทสำคัญที่ใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์
ดังวลีที่มักจะได้ยินอยู่เสมอว่า “กีฬาสร้างคน คนสร้างชาติ” โดยคนที่สมบูรณ์นั้น
จะต้องปรากฏศักยภาพของความเป็นคนที่เก่งและดีทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
จึงเป็นเหตุทำให้สังคมเกิดความตื่นตัวที่พยายามจะใช้กีฬาในการสร้างสุขให้กับสังคมของตนเอง
ทั้งนี้ “สังคมครอบครัว” ถือว่าเป็นรากฐานของการเรียนรู้ และปลูกฝังจิตสำนึก
คุณธรรม จริยธรรม แต่บางครั้งเป้าหมายในการใช้กีฬาเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ในความคาดหวังของครอบครัวนั้น
อาจจะไม่ใช่เจตนารมณ์ที่แท้จริงในคุณค่าของกีฬา กล่าวคือ การรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย
การเล่นอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม การเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน การเกิดมิตรภาพ
และความยอดเยี่ยมในการแสดงความสามารถได้อย่างเต็มศักยภาพของตนเอง
รวมถึงความภูมิใจในการมีส่วนร่วมในเกมการแข่งขันกีฬา
ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญที่ครอบครัวควรจะให้ความสำคัญ
เพราะถ้านักกีฬามีทัศนะคติต่อกีฬาเพื่อแสวงหาซึ่งชัยชนะเป็นที่ตั้งแล้วนั้น
จะส่งผลต่อพฤติกรรมและการแสดงความสามารถที่ไม่พึงปรารถนาได้ ดังนั้น บทบาทความเป็นผู้นำของครอบครัวที่มีต่อบริบททางการกีฬามีความสำคัญมาก
ที่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรละเลย ดังจะเห็นได้จากกรณีศึกษาในภาพยนตร์เรื่องนี้
พ่อแม่ผู้ปกครองพยายามกดดันโค้ชคาร์เตอร์ให้ลาออก
เนื่องจากไม่พึงพอใจในวิธีการโค้ชให้กับลูกหลานของตนเอง ซึ่งไม่ได้มองถึงคุณค่าของกีฬาที่โค้ชคาร์เตอร์พยายามปลูกฝังให้ดังกล่าว
ความเป็นผู้นำทางการกีฬาเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับกีฬาทุกประเภท
ซึ่งผู้นำในสถานการณ์กีฬาไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกสอนกับนักกีฬาหรือนักกีฬากับนักกีฬาเองก็ตาม
การเป็นผู้นำทางการกีฬาที่ดีจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม จริยธรรม และมีความเชื่อถือในคุณค่าของกีฬา
มีบุคลิกภาพที่ดี มีปรัชญาเป็นของตนเอง มีเป้าหมายที่ชัดเจน อุทิตตนเอง
กระตือรือร้น และมีความคิดริเริ่ม สามารถสร้างวินัยให้เกิดขึ้นภายในทีม
ไม่เห็นแก่ตัว มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความรอบรู้
และสามารถถ่ายทอดความรู้ของตนให้กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม สอดคล้องกับ 2สุพิตร (2535) กล่าวว่า ผู้ฝึกสอนที่ไม่มีปรัชญาในการฝึกจะทำให้ขาดแนวทางในการปฏิบัติเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทาง
ดังนั้น เพื่อการฝึกกีฬาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ฝึกสอนจำเป็นต้องทราบว่าขณะนี้ตนเองกำลังทำอะไร ทำเพื่ออะไร ทำกับใคร
และทำอย่างไร ปรัชญาเป็นความเชื่อหรือหลักการที่จะเป็นแนวทางสู่การปฏิบัติ
ในแง่ของการกีฬานั้น ปรัชญาของชีวิตจะเป็นพื้นฐานของการฝึกกีฬา
และจะเป็นปรัชญาของการฝึกกีฬาเฉพาะอย่าง หรือเป็นเทคนิคและกุศโลบายที่ผู้ฝึกสอนจะนำมาใช้ในการฝึกกีฬาต่อไป
ด้วยเหตุและผลดังกล่าว สามารถเชื่อมโยงกับความสุนทรียภาพที่สะท้อนออกมาเป็นเรื่องราวจากภาพยนตร์
เรื่อง “โค้ชคาร์เตอร์” ซึ่งมีเนื้อหาที่ควรค่าแก่การศึกษา และสามารถนำไปประยุกต์ใช้สำหรับการพัฒนาความเป็นผู้นำทางการกีฬาต่อไป
“ผู้นำทางการกีฬาคือส่วนสำคัญที่ช่วยพัฒนาคุณภาพกีฬาให้มีคุณค่าอย่างยั่งยืน”
เอกสารอ้างอิง
1สืบสาย บุญวีรบุตร (2541) จิตวิทยาการกีฬา. ชลบุรีการพิมพ์, ชลบุรี.
2สุพิตร สมาหิโต (2535) จิตวิทยาการกีฬา แนวคิด ทฤษฎี สู่การปฏิบัติ. สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพมหานคร. หน้า 205
รวบรวมเเละเรียบเรียงโดย
สุริยัน สมพงษ์
25 สิงหาคม 2555